สนับสนุนโดย

มหากาพย์สุดช้ำที่มิลาน

Table of Contents

สำหรับผมนี่เป็นเกมที่ครบรสที่สุด นอกจากสถานการณ์ที่พลิกไปมา คาดเดาไม่ได้แล้ว ยังได้เห็นอะไรอีกมากมาย

ได้เห็นแท็คติกการเล่นที่ยอดเยี่ยม

แฟนอินเตอร์ถอดใจ เดินออกก่อนทีมยิงแซงดับบาร์ซ่า พลาดชอตประวัติศาสตร์
เกมสุดคลั่งที่ จูเซปเป้ เมอัซซ่า อินเตอร์ พลิกสถานการณ์คว่ำ บาร์เซโลน่า ชิง ชปล.
อินเตอร์ vs บาร์ซ่า ยิงรวม 13 ลูก! ทาบสถิติมากสุดรอบตัดเชือก UCL

ได้เห็นเทคนิคลูกหนังชั้นเลิศ

ได้เห็นหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ของนักเตะ

สู้กันอย่างสมศักดิ์ศรี แพ้-ชนะ เชิดหน้าออกจากสนามอย่างไม่อายใคร 

ได้เห็นการวางหมาก, การแก้เกม, การชิงไหวชิงชิงพริบ,ไทม์มิ่งในการเปลี่ยนตัวของกุนซือทั้งสองคน 

แต่ละจังหวะหากคิดตาม ล้วนมีความหมาย (ได้ผลหรือไม่เป็นอีกเรื่อง)

บอกให้รู้ว่าขณะที่แฟนบอลกำลังเพลิดเพลินไปกับเกมอันเข้มข้น ข้างสนาม ฟลิค กับ อินซากี้ ก็ห้ำหั่นกันอย่างน่าดูชม ไม่ใช่แค่ยืนล้วงกระเป๋า เดินตากฝนแบบเท่ห์ๆ

นอกจากนั้นแล้ว เรายังได้เห็นการตัดสินที่เด็ดขาด มีศิลปะชั้นเชิงของผู้ตัดสิน ซีมอน มาร์ซิเนียค อีกด้วย 

อีตูร์ราลเด้ กอนซาเลซ อดีตผู้ตัดสินระดับท็อปที่ผันตัวมาเป็นคอมเมนเตเตอร์ให้รายการทีวีดัง carrusel ของ สเปน ชม มาร์ซิเนียค ว่า 

“จากการทำหน้าที่ บ่งบอกว่าเขาเตรียมตัวมาอย่างดี มีการวางแผนการตัดสิน”

สิ่งที่เห็นคือ มาร์ซีเนียค พยายามไม่แจกใบเหลืองพร่ำพรื่อ ป้องกันไม่ให้นักเตะทั้งสองทีมเดือด ซึ่งเอาจริงๆแล้วก็มีข้อผิดพลาดอยู่บ้าง ที่ไม่ยอมแจกใบเหลืองให้ เปา กูบาร์ซี่ ที่เสียบ เลาตาโร่ ในจังหวะจุดโทษของ อินเตอร์ (เป็นเพียงจุดเดียวที่ อีตูร์รัลเด้ ไม่เห็นด้วย)

บางคนคิดว่าการแจกใบเหลืองคือการปรามไม่ให้เกมเดือด มันไม่ถูกเสมอไป ยิ่งถ้าใบเหลืองนั้นมีที่มาที่ไม่สมเหตุสมผล ยิ่งเป็นการสร้างความกดดันให้กับนักเตะและสุดท้ายพวกเขาจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ 

ผมเห็นด้วยกับคอมเมนท์ของ อีตูร์รัลเด้ ผลงานของ มาร์ซีเนียค เป็นการเน้นย้ำว่า ฟุตบอลจะสนุก ไม่ใช่แค่นักเตะหรือเทรนเนอร์ แต่ผู้ตัดสินต้องดีด้วย และเมื่อวาน พูดได้ว่า มาร์ซิเนียค ใกล้เคียงกับคำว่า ‘ท็อปฟอร์ม’

จังหวะบอลโดนแขนของ ฟรานเชสโก้ อาแชร์บี ไม่เป็นจุดโทษ ถูกต้องแล้วเพราะบอลโดนขาของเขาก่อนจะกระดอนขึ้นมา

จังหวะจุดโทษของ อินเตอร์ มิลาน ก็ถูกต้อง 

ลูกนี้มองด้วยตาเปล่าจากการถ่ายทอดสด เราแทบไม่เห็น แต่จากภาพช้า จังหวะเสียบของ กูบาร์ซี่ นั้นเป็นการเสียบขณะที่บอลอยู่ระหว่างเท้าทั้งสองข้างของ เลาตาโร่ แล้ว (ต้องให้เครดิต VAR )

ส่วนจังหวะอื่นๆที่ไม่ต้องพึ่ง VAR มาร์ซีเนียค ก็ถือว่าทำได้ดี คลี่คลายสถานการณ์ได้เยี่ยม 

……………………………………..

การจัดทัพ

อินซากี้ ได้ เลาตาโร่ ฟิตกลับมา ก็ไม่ต้องคิดมาก ส่งลงตัวจริงกับ มาร์กกุส ตูราม เท่ากับ 11 คนแรกของ อินเตอร์ เป็นชุดเดียวกับที่ มอนจูอิกต์ เมื่อสัปดาห์ก่อน ภายใต้ระบบ 3-5-2 

ฝั่ง บาร์ซ่า ไม่มี ฌูลส์ กุงเด้ ที่เจ็บ, บัลเด้ ที่ฟิตไม่ทัน ส่วน เลวานดอฟสกี้ ก็ไม่ฟิตพอจะลงเต็มเกม 

ทีแรกมีข่าวว่า ฟลิค จะโยก อินญิโก้ มาร์ติเนซ ไปยืนแบ็กซ้าย แล้วให้ อาเราโฮ ลงมาจับคู่เซนเตอร์กับ เปา กูบาร์ซี่ 

แต่พอไลน์อัพออกมา ฟลิค เลือก เคราร์ด มาร์ติน ตามเดิม อาเราโฮ จึงนั่งสำรองตามเดิม ส่วนแบ็กขวาเป็น เอริก การ์เซีย ตามคาด ซึ่งถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกเมื่อดูจากผลลัพธ์ที่ออกมา 

…………………………………………

เกมแพลน

ฟลิค ไม่ได้เปลี่ยนแปลงวิธีการเล่น แต่ใส่รายละเอียดเรื่องการเคลื่อนที่ หนีตัวประกบของตัวรุก การพุ่งเข้าพื้นที่สุดท้ายของตัวที่ 3 ตัวที่ 4 เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำประตู ส่วนเกมรับเน้นการยืนตำแหน่งและสมาธิ การขยับเข้ามาช่วยสอดซ้อน ไม่มีจับตายใครเป็นพิเศษ  

ส่วน อินซากี้ วางหมากมาจับตาย ลามีน ยามาล  ใช้การดับเบิ้ลทีมของ ดิมาร์โก้-มคิตาร์ยาน เล่นงาน แถมมีตัวที่ 3 คอยดักเก็บ 

ถ้า ยามาล เลือกจ่าย บาสโตนี่ ก็จะพุ่งไปจัดการตัวรับบอล แต่ถ้าเลือกแหวก  บาสโตนี่ ก็จะเข้ามาซ้อนอีกทีเป็น 3 รุม 1 

ส่วนเกมรุก อินเตอร์ ขึ้นฝั่งขวาข้างเดียว เพราะซ้ายเอาไว้ปิด ยามาล 

 วิธีการไม่ต่างไปจากเดิม ยัดบอลมาที่หน้าเป้า หน้าเป้าเก็บบอล รอจังหวะ ดุมฟรีส พุ่ง แล้วจ่ายตัดไปพื้นที่ว่าง 

ตรงกลางเปลี่ยนจังหวะเข้าหาบอลให้เข้มข้นขึ้น เร็วขึ้น ข้างหน้าไม่ให้ บาร์ซ่า บิ้วด์อัพขึ้นมาง่ายๆ ถ้าเป็นไปได้จะบีบให้โยน เพราะรู้ดีว่าลูกกลางอากาศพวกเขาได้เปรียบ 

ประตูแรกของ อินเตอร์ มาจากการบีบเร็ว 

โอลโม่ พลาด ไม่ทันระวังตัว เลยเสร็จ ลูกนี้ยกความดีให้ ดิมาร์โก้ ที่แย่งบอลมาแล้วดีดเข้าช่องให้ ดุมฟรีส หลุดเข้าไปจ่ายให้ เลาตาโร่ แปเน้นๆ 

บาร์ซ่า โดนก่อนและพยายามเอาคืน แต่ไม่ง่ายเพราะ อินเตอร์ ถึงเนื้อถึงตัวตลอด ไม่ให้เวลาคิด หรือพลิกบอลง่ายๆ 

เฟร์ราน ตัวเล็กโดนชนกระเด็นกระดอนเก็บบอลไม่ได้ 

ราฟินญ่า ถนัดวิ่งช่อง รอรับลูกเปิด พอกลางปั้นเกมไม่ได้ถนัด บทบาทก็น้อยลง

มี ยามาล ที่ยังคุกคามแนวรับ อินเตอร์ ได้ (ขนาดโดน 2 -1 ทั้งเกม) ,โอลโม่ ดิ้นหนีได้เป็นบางครั้ง 

ประตู 2-0 ของ อินเตอร์ มคิตาร์ยาน แทงทะลุช่องให้ เลาตาโร่ ได้สวยก็จริง แต่จุดเริ่มต้นเหมือนประตูแรก คือกลางอินเตอร์บีบเร็วและตัดบอลจังหวะลำเลียงของ บาร์ซ่า ได้ 

จุดโทษนี้อย่างที่เขียนถึงไปข้างต้นครับว่า ดูตาเปล่าแทบมองไม่มอง ทีแรกผมเองก็มองว่า เปา ถึงบอล แต่พอเห็นภาพช้าก็ต้องยอมรับ และถือเป็นโชคที่ไม่โดนใบเหลือง

อินเตอร์ นำ 2-0 ทุกอย่างเหมือนอยู่ในกำมือ แต่ที่น่าสนใจคือปีนี้ บาร์ซ่า มักคัมแบ็กได้เสมอ และ 45 นาทีแรกที่ผ่านไป อินเตอร์ ใช้แรงไปเยอะมาก ยุบหรือแผ่วเมื่อไหร่ มีสิทธิ์โดน

นอกจากนี้ ครึ่งแรกที่ไม่เสียประตู เอาจริงๆหลัง อินเตอร์ ก็ไม่ถึงกับเนี๊ยบ แค่บาร์ซ่า ยังขาดๆเกินๆ 

……………………………..

ครึ่งหลัง บาร์ซ่า ออกสตาร์ทได้แข็งแกร่ง เล่นด้วยความเชื่อมั่น เดินเกมตามแบบฉบับของตัวเอง แต่ใส่ความพิเศษ โอเวอร์โหลดตัวเข้าไปในพื้นที่สุดท้ายเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม

พื้นที่เปิดบอลคือฝั่งขวาของ อินเตอร์ ที่ ดุมฟรีส ชอบดันสูง ขึ้นไปเล่นเกมรุก และมันเวิร์คสุดๆ ตัว 2 ตัว 3 ที่สอดเข้ามาในพื้นที่กรอบเขตโทษมีส่วนในการทำประตูทั้งสองลูก

นาที 54 เอริก การ์เซีย แปเน้นๆ จากลูกเปิดของ มาร์ติน ตีไข่แตกไล่มา 1-2 

นาที 60 มาร์ติน คนเดิมตักบอลข้ามหัวเซนเตอร์ อินเตอร์ ให้ โอลโม่ สอดมาโขกเสาสองตีเสมอ 2-2 

อินเตอร์ โดน 2 ลูกติดๆ ถึงกับชอต ออกลูกหมดแรงอีกด้วย ตัดสินใจปิดสวิตช์เกมรุก หันมาเล่นเกมรับเต็มตัวเพื่อหยุดเลือด รอจังหวะฟื้นตัวค่อยหาโอกาสเล่นงานกลับ

แต่ บาร์ซ่า ยิ่งมายิ่งแรง ย้ำแผล อินเตอร์ ตรงพื้นที่ฝั่งขวา 

คราวนี้ ราฟินญ่า ที่ทั้งเกมแทบไม่มีบทบาทสอดขึ้นมารับลูกจ่ายของ เปดรี ก่อนสับเต็มข้อ จังหวะแรกตรงตัว ซอมเมอร์ ทุบออกมา จังหวะสองไม่พลาดตวัดยิงเข้าเสาไกลเป็นประตูแซง 2-3 

นาทีนั้นใครก็ว่า บาร์ซ่า ไม่น่าพลาดแล้ว โมเมนตั้มทุกอย่างเหวี่ยงมาทางยักษ์ใหญ่กาตาลัน แต่ความผิดพลาดก็เกิดขึ้น 

ประตูตีเสมอ 3-3 ของ อินเตอร์ อันดับแรก นักเตะทุกคนต้องรับผิดร่วมกันที่ไม่สามารถปิดเกมได้ ทั้งๆที่เวลาเหลือน้อยนิด 

ต่อมาคือ อาเราโฮ ที่ประกบ อาแชร์บี หละหลวม อ่านหน้าบอลไม่ขาด จนทีมเสียประตู 

ได้ลูกนี้ อินเตอร์ เหมือนตายแล้วฟื้น ต่อเวลาพิเศษครึ่งแรกก็มาได้ประตูชัย 4-3 จาก เดวิเด้ ฟรัตเตซี่ 

ลูกนี้ อาเราโฮ รับเต็มไปๆ ที่ซื่อจนไม่ทันเหลี่ยมของ ตูราม 

เข้าใจดีถึงเหตุผลที่ ฟลิค เลือกเปลี่ยน มาร์ติเนซ ออก 

เซนเตอร์วัย 33 หมดแรงและเหลืองไปแล้ว  ฟลิค ไม่มีทางเลือกต้องส่ง อาเราโฮ ลงมา แต่นักบอลทำไม่ได้ และหนักกว่านั้นคือดันเป็นตัวสำรองของ อินซากี้ ที่ยิงประตูชัย 

ผู้รักษาประตูก็เป็นอีกหนึ่งความแตกต่าง 

 เซสนี่ ไปยืนให้ กูบาร์ซี่ กับ อาเราโฮ บังทำไม ?

เพื่อนปิดมุมให้ครึ่งนึงแล้ว เขาควรขยับออกไปอีกด้านนึงหรือเปล่า ? 

ซอมเมอร์ แสดงให้เห็นถึงความพิเศษในเกมใหญ่ ช่วยชีวิต อินเตอร์ ไว้หลายครั้ง ขณะที่ เซสนี่ ตรงเป็นตุง 

ที่เขาบอก ฟุตบอลระดับสูง วัดกันที่รายละเอียดเพียงเล็กน้อย มันเป็นเช่นนี้

เกมจบ 4-3 บาร์ซ่า สู้กับ อินเตอร์ ได้โคตรสนุก โคตรได้ใจ แต่ท่ามกลางเสียงปรบมือจากแฟนบอลทั่วโลก แต่ลึกลงไปปรากฏน้ำตาลูกผู้ชายที่ยากจะกลั้นของฝั่งบาร์ซ่า 

ตกรอบแบบนี้ แม้ไม่มีอะไรต้องอาย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือความผิดหวังครั้งใหญ่ที่สุดของฤดูกาล 

ชัยชนะอยู่แค่เอื้อม ,ตั๋วบินสู่ อัลลิอันซ์ อารีน่า อยู่ใกล้แค่ปลายมือคว้า แต่หลุดลอยไปต่อหน้าเพียงเสี้ยววินาที 

ไม่อยากเขียนว่า “ไม่เป็นไร ทำดีที่สุดแล้ว” เพราะผมรู้ว่าแพ้แบบนี้มันเจ็บปวด

เอาเป็นว่า เก็บความผิดพลาดไว้เป็นบทเรียน ใช้เป็นแรงขับ ซีซั่นหน้ากลับมาให้แกร่งยิ่งกว่าเดิมนะ เอาใจช่วยเต็มที่ !!

“เจมส์ ลาลีกา”

,

บริการ

tag:
กีฬาต่างประเทศ ข่าวกีฬา ตลาดนักเตะ ตารางบอล ตารางบอลวันนี้ ทีมชาติไทย นิวคาสเซิ่ล บอลวันนี้ บาร์เซโลน่า บาเยิร์น มิวนิค บุนเดสลีกา ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ปีศาจแดง ปืนใหญ่ ผลบอล ผลบอลเมื่อคืน ผีแดง พรีเมียร์ พรีเมียร์ลีก พรีเมียร์ลีกอังกฤษ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฟุตบอลต่างประเทศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ยูโรปา ลีก รูเบน อโมริม ลาลีกา ลาลีกา สเปน ลิเวอร์พูล วิเคราะห์บอล สเปอร์ส หงส์แดง อาร์เซน่อล อาร์เน่อ สล็อต เชลซี เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ เปแอสเช เรอัล มาดริด แชมเปี้ยนส์ ลีก แมนซิตี้ แมนยู แมนยูไนเต็ด แมนฯ ยูไนเต็ด แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โปรแกรมบอล โปรแกรมบอลวันนี้